วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

นิทานญี่ปุ่น "ใครๆก็ว่าผมโง่"

『ほんまにオレはアホやろか』 ใครๆก็ว่าผมโง่


Title: 『ほんまにオレはアホやろか』”ใครๆก็ว่าผมโง่”


Author: 水木しげる (Mizuki Shigeru:อ.มิซุกิ ฉิเกรุ) ผู้วาดการ์ตูนเรื่อง Gegege No Kitarou การ์ตูนเกี่ยวกับผีต่างๆช่วยกันปราบปีศาจร้ายค่ะ


70-80ปีก่อน ก่อนสงครามโลกครั้ง การกวดขันเพื่อสอบเข้า การตัดสินความสามารถเด็กโดยการสอบวัดระดับก็ยังเป็นเรื่องที่เด็กๆญี่ปุ่นส่วนใหญ่ต้องเผชิญ


หนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือที่อ.ชิเกรุ มิซุกิเขียนเล่าเกี่ยวกับประวัติตนเองตั้งแต่วัยเด็กจนมาเป็นนักเขียนการ์ตูนที่มีชื่อเสียง

อ.มิซุกิเกิดเมื่อวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 1922 ณ เมืองซะไกมินาโตะ จังหวัดโทโทริ (鳥取県境港町)ในวัยเด็ก อ.มิซุกิชอบอยู่กับธรรมชาติ ชอบสังเกตแมลง ชอบทะเลและชอบว่ายน้ำเป็นชีวิตจิตใจ เนื่องจากแกมีความสร้างสรรค์ในการหาเกมใหม่ๆมาเล่น ก็เลยทำให้มีเพื่อนเยอะและเป็นหัวโจกเด็กๆไป

นอกจากนี้ แกยังชอบฟังเรื่องนิทานปรัมปรา เรื่องเกี่ยวกับภูตผี(โยไก:妖怪) ต่างๆจากคุณยายในหมู่บ้าน หลังๆ แกก็ไปค้นคว้าหาหนังสือมานั่งอ่านเอง ฉันอ่านหนังสือไปก็นึกถึงสถาปนิกชื่อดัง คุณทาดาโอะ อันโดนะคะ จำได้ว่า ตอนเด็กๆ แกก็เป็นคนที่อยู่กับธรรมชาติ ชอบเที่ยวชอบเล่นมาตลอดเหมือนกัน

ส่วนเรื่องการเรียนนั้น ไม่ต้องพูดถึง ขนาดแค่ตื่นไปโรงเรียน แกยังตื่นไม่ทัน ตื่นมาก็9โมงเช้า เด็กๆปกติคงรีบวิ่งตาตื่นไปโรงเรียน แต่แกเป็นประเภทค่อยๆนั่งทานข้าวเช้าอย่างเอร็ดอร่อยแล้วค่อยเดินไปโรงเรียน เป็นอย่างนี้บ่อยเข้า อาจารย์ที่โรงเรียนก็เริ่มชินและไม่ได้ว่าอะไรค่ะ

ด้วยความที่แกเป็นคนเรื่อยๆ สบายๆ แกไปสอบเข้าร.ร.มัธยมก็ไม่ติด ไปทำงานส่งหนังสือพิมพ์ก็โดนเขาไล่ออกเพราะตื่นสาย สุดท้าย แกก็ไปเรียนโรงเรียนสอนวาดศิลปะ (ซึ่งไม่ต้องสอบเข้า) ทุกๆคนรอบตัว แม้แต่พ่อแม่เองก็ยังถอดใจในความไม่เอาไหนของลูกชายตัวเอง หลังจากเข้าเรียนไม่นาน ก็เกิดสงครามเอเชียแปซิฟิก (1941-1945) อ.มิซุกิถูกส่งไปประเทศปาเลา เป็นประเทศเกาะเล็กๆอยู่ใต้ฟิลิปปินส์

ในบรรดาทหารกองหน้าที่ถูกส่งไป แกเป็นคนเดียวที่เหลือรอดชีวิตมาได้ บทหนึ่งที่ฉันชอบเกี่ยวกับชีวิตแกตอนช่วงนี้คือตอนที่แกไปสนิทกับคนพื้นเมืองค่ะ สนิทจนขนาดพวกเขาทำไร่ทำบ้านให้ จะให้มาอยู่ด้วยกันเลยค่ะ



"とにかく、土人たちの生活は精神的に豊かで充実しているのだ。ブンメイ人のせかせかした生活がばかばかしくなってくる。
 彼らは、午前中三時間ばかり畑仕事をするだけだ。それだけで、自然の神々は彼らの腹を満たしてくれる。人一倍つくって、冷蔵庫なんぞに貯えておく必要はない。いるだけつくって、いるだけ食えばいいのだ。自然の神は彼らの心まで豊かにする。"


ชีวิตความเป็นอยู่ของคนพื้นเมืองนั้นร่ำรวยมาก ร่ำรวยในการ”ใช้”ชีวิต ร่ำรวยน้ำใจ อารยธรรมทำให้วิถีชีวิตคนเราเร่งรีบและแปลกไปมาก
พวกเขา(คนพื้นเมือง)ทำนาทำไร่แค่3ชั่วโมงในช่วงเช้า ใช้ชีวิตอยู่ตามธรรมชาติ ไม่ต้องทำงานเก็บตุนไว้เยอะๆ ไม่ต้องมีตู้เย็น มีแค่ไหนก็ทำแค่นั้น กินเท่าที่จำเป็น ธรรมชาติได้หล่อหลอมให้พวกเขามีจิตใจที่งดงามเหลือเกิน

อีกตอนหนึ่ง แกบอกว่า วันไหนที่ดาวสวย ทุกคนในครอบครัวจะมานอนเรียงกัน ดูดาวไป พูดคุยกระซิกหยอกล้อกันไป ทุกคนรู้จักกันดี สนิทกันดี แกมีความสุขกับชีวิตแบบนี้มากจนอยากจะอยู่เกาะนี้ ไม่กลับญี่ปุ่นไปเสียด้วยซ้ำ

หลังจากกลับมาที่ญี่ปุ่น แกก็มาเป็นคนรับจ้างวาดภาพหนังสือนิทานเด็ก (แบบแผ่นๆ ที่คนเล่าแบกไปเล่าตามหมู่บ้านน่ะค่ะ) ทำอยู่7ปี ทำงานเช้ายันค่ำก็ไม่ค่อยได้เงินที่พอเพียง พอวงการนี้ใกล้ล่ม แกก็ย้ายมาวาดการ์ตูนลงนิตยสารแทน (ตอนนั้นอายุใกล้ๆสี่สิบแล้วค่ะ) จนมีผลงานเป็นที่นิยมอย่าง เกเกเกะ คิตาโร่ อย่างทุกวันนี้ค่ะ

แกเล่าตอนท้ายเล่มว่า ด้วยความที่แกมัวแต่สนใจพวกแมลง พวกตำนานภูตผีปีศาจ พ่อแม่หรือญาติๆก็บอกว่า เจ้านี่ท่าจะบ้า แต่แกบอกว่า ความรู้ที่ได้ตอนนั้นทำให้แกนำมาใช้วาดการ์ตูนและมีวันนี้ แกสนุกที่จะเรียนรู้เรื่องพวกนั้น เพราะฉะนั้น ไม่ว่าคนภายนอกจะมองว่าเรื่องที่เราทำอยู่มันบ้าบอคอแตกแค่ไหน แต่ถ้าเราทำจริง และทำเป็นระยะเวลานาน ก็จะเกิดผลดีเป็นที่สุด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น